หนังสือยอห์นเป็นเรื่องของการได้รับชีวิตพระเจ้า หรือชีวิตที่มีสภาพ “นิรันดร์” ไม่ใช่จะได้รับความรอดเท่านั้น
ความรอดเป็นหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่ผู้เชื่อได้รับเมื่อเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ อย่างเช่น
ก. ความรอด, การบังเกิดใหม่, ได้เป็นบุตรพระเจ้า, มรดก
ข. พระพร (ฝ่ายวิญญาณ)
ค. ชีวิตของพระเจ้าที่เข้ามาอยู่ในเรา (พระวิญญาณ หรือพระคริสต์ที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย)
1.1 ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
1.2 ในเริ่มแรกนั้นพระองค์นั้นทรงอยู่กับพระเจ้า
ในเริ่มแรก คือช่วงเวลาก่อนที่พระเจ้าจะทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกในปฐมกาล ท่านยอห์นพูดถึงเหตุการณ์เมื่อยังไม่มีอะไรในจักรวาลนี้นอกจากพระเจ้าทั้งสามพระภาคเท่านั้น
พระวาทะ พระคำ ถ้อยคำ หรือคำพูดเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าที่แยกออกจากกันไม่ได้
พระวาทะทรงเป็นอยู่พร้อมกับพระเจ้า และถ้อยคำนี้นี่เองที่ทรงเป็นพระเจ้า
1.3 พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้นไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์
การเนรมิตสร้างของพระเจ้าในเริ่มแรกทรงสร้างด้วยพระวาทะหรือคำพูด และทรงสั่งให้อะไรเกิดมีขึ้นมันก็จะเกิดขึ้นทันที
การเนรมิตสร้างในเริ่มแรกนี้ พระเจ้าสร้างจากสิ่งที่ไม่มีหรือความว่างเปล่าให้เกิดมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา ฮีบรูเรียกว่า “บารา” ครับ (บาราแปลว่า เนรมิตจากความว่างเปล่าไม่มีอะไร)
1.4 ในพระองค์มีชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ทั้งปวง
ในพระวาทะ ถ้อยคำ หรือพระคำมีชีวิตและเป็นชีวิต (ของพระเจ้า) (กรีกคือ Zoe) ขณะที่มนุษย์มีชีวิตดิน และไม่มีชีวิตพระเจ้าในเขา
ความสว่างในที่นี้ “ไม่ใช่แสงสว่างที่ส่องสว่างเพื่อให้เรามองเห็น” แต่ความสว่างในที่นี้คือ “ความจริงหรือความเป็นจริง” ที่ไม่เหมือนความมืดที่เป็นความไม่จริง หรือเสื่อม ตกสภาพ ตกต่ำ กลายเป็นสิ่งชั่วร้าย และบาปสำหรับพระเจ้าเสียแล้ว
ความสว่างหรือความจริง คือหนึ่งในสี่คุณสมบัติของพระเจ้า อย่างเช่น ความรัก ความสว่าง (ความจริง) ความชอบธรรม และความบริสุทธิ์
1.5 ความสว่างนั้นส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้เข้าใจความสว่างไม่
“ความจริง” เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า พระเจ้าคือผู้ให้กำเนิดทุกสิ่งซึ่งมีความจริงนี้เป็นรากฐาน ความเสื่อมทรามเสื่อมโทรมจะชนะความจริงไม่ได้ เพียงแต่พระเจ้ารอเวลาและให้โอกาส โดยใช้ความไม่จริงเพื่อช่วยให้งานของพระองค์สำเร็จ
1.6 มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มา ชื่อยอห์น
ถึงแม้ว่า พระเยซูคริสต์และยอห์นจะเป็นญาติกัน แต่ทั้งสองไม่เคยได้รู้จักกัน เพราะท่านยอห์นถูกนำไปเลี้ยง และเรียนรู้ทางแห่งผู้เผยพระวจนะตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่ (ลูกา 1.80) เมื่อยอห์นอยู่ในคุก ท่านสั่งให้ศิษย์ไปถามพระเยซูว่า พระองค์เป็นพระคริสต์จริงหรือ (ลก. 7.18-23)
1.10 พระองค์ทรงอยู่ในโลก และพระองค์ได้ทรงสร้างโลก และโลกหาได้รู้จักพระองค์ไม่
1.11 พระองค์ได้เสด็จมายังพวกของพระองค์ และพวกของพระองค์นั้นหาได้ต้อนรับพระองค์ไม่
มีศาสนามากมาย พระมากมายในโลกที่อ้างตัวเองว่า เขาเป็นพระเจ้า พระ หรือเทพเจ้าลงมาเกิด หรือกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่เมื่อพระเจ้าตัวจริงเสด็จมามนุษย์ก็หารู้จักพระองค์ไม่
1.12 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานอำนาจให้เป็นบุตรของพระเจ้า คือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์
“ต้อนรับ” หรือ “รับ” ในที่นี้คือเชื่อเข้าใน (Believe into) คือการรับเอาพระเยซูเข้ามาเป็นพระเจ้า และพระผู้ไถ่บาปของเรา ซึ่งในที่สุดเราจะต้องทิ้งความเชื่อ และพระที่เราเคยกราบไหว้นั้น
ประทานอำนาจให้เป็นบุตร คือประทานชีวิตของพระเจ้าเองเข้ามาอยู่ในเราที่เป็นมนุษย์ดิน และกลายเป็นบุตรแห่งฝ่ายวิญญาณ เพราะถ้าหากมนุษย์อาดัมไม่มีชีวิตพระเจ้าก็ไม่อาจจะเป็นบุตรพระเจ้าอย่างแท้จริงได้
เชื่อในพระนาม คือการต้อนรับ หรือเชื่อเข้าในพระคริสต์
ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องควรใช้คำว่า “เชื่อเข้าใน” แทนคำว่า “เชื่อใน” เพราะการเชื่อนี้ต้องเชื่อและเข้าในผู้ที่เราเชื่อ หรือโลกของพระองค์ที่เป็นฝ่ายวิญญาณ “Believe in” should be “Believe into” because we need to put our lives into the world of God or the Spiritual world to live and to walk in his world.
1.13 ซึ่งมิได้เกิดจากเลือด หรือความประสงค์ของเนื้อหนัง หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า
“เกิดจากพระเจ้า” คือทันทีที่เราเชื่อเข้าใน หรือรับพระเยซูเป็นพระเจ้าและพระคริสต์
พระวิญญาณจะเสด็จมาหาเรา
พระวิญญาณจะดลบันดาลให้วิญญาณของเรากลายเป็นวิญญาณใหม่ (จากวิญญาณที่มีอยู่แต่ตายแล้ว)
พระวิญญาณจะเข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา วิญญาณเราจะกลายเป็นบ้านของพระองค์ และพระวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณเราซึ่งจะแยกจากกันไม่ได้อีกเลย (เมื่อเราทำบาปพระวิญญาณจะไม่ออกไปจากเราเหมือนที่ผู้เชื่อมากมายเชื่อกัน แต่เราต่างหากที่ออกจากพระวิญญาณ หรือออกจากการสามัคคีธรรมกับพระวิญญาณ)
พระวิญญาณยืนอยู่ที่วิญญาณ และเคาะประตูใจเราเพื่อเข้าไปครอบครองทีละส่วน และเมื่อครอบครองได้ส่วนไหนส่วนนั้นก็จะเลิกทำบาปได้
1.14 พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนังและทรงอยู่ท่ามกลางเรา (และเราทั้งหลายได้เห็นสง่าราศีของพระองค์คือสง่าราศีอันสมกับพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระบิดา) บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง
เมื่อเป็นมนุษย์ในเวลา 33 ปีกว่า พระเยซูไม่ได้รับเกียรติจากพระบิดาเพราะว่า พระองค์ยังไม่ได้กลายเป็นพระวิญญาณ และการไถ่บาปยังไม่สำเร็จ (ยอห์น 7.39)
1.16 และเราทั้งหลายได้รับจากความบริบูรณ์ของพระองค์เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ
พระคุณคือพระเยซูที่เป็นมนุษย์ตายแทนความบาปของเรา
พระคุณซ้อนพระคุณคือพระเยซูที่เป็นพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในเรา เพื่อช่วยเราให้เลิกทำบาป และมาถึงชีวิตที่ครบบริบูรณ์
1.17 เพราะว่าได้ทรงประทานพระราชบัญญัตินั้นทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์
ผู้เชื่อมากมายยังรักษาพระบัญญัติที่มาทางโมเสสเพราะว่า เขาไม่เข้าใจพระคุณซ้อนพระคุณ
พระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ คือการอยู่แทน ทำแทน รักแทน อดทนนานแทน เมตตา อภัย ฯลฯ ที่พระเยซูคริสต์ทำผ่านเราเพื่อช่วยเรา คือการดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง
พระบัญญัติคือเราต้องทำดีเชื่อฟังเพื่อพระเจ้า และจะได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาจะให้ ขณะที่พระคุณคือพระเจ้าทำแทนเราเชื่อฟังแทนเรา เพื่อเราจะได้รับทุกสิ่งจากพระองค์
35-51 อันดรูว์ เปโตร ฟิลิป และนาธานาเอลพบพระเยซูก่อนเพื่อน และก่อนเหตุการณ์ที่พระเยซูจะเรียกเปโตรที่ริมทะเล

