2.1 วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานา แคว้นกาลิลี และมารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่น
งานแต่งงาน หมายถึงการเกิด แก่ ตาย และยกให้เป็นสามีภรรยากันของมนุษย์อาดัม
มารดาของพระเยซู (ฝ่ายเนื้อหนัง) ก็เป็นมนุษย์อาดัมคนหนึ่ง
2.2 พระเยซู และสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น
พระเจ้าทรงเสด็จเข้ามาในโลกเพื่อช่วยเหลือมนุษย์เพราะทรงทราบจิตใจพวกเขาดีว่า ต้องการความสุข และชีวิตที่ดีกว่าที่เขาเป็นอยู่
ความรักคือต้นเหตุที่พระเจ้าสละพระบัลลังก์บนสวรรค์เพื่อลงมาช่วยเหลือมนุษย์ในครั้งนี้
2.3 เมื่อน้ำองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูทูลพระองค์ว่า “เขาไม่มีน้ำองุ่น”
น้ำองุ่น หมายถึงชีวิต น้ำองุ่นเก่าที่จะหมดคือชีวิตอาดัม (ปสุเค) (Psuche) น้ำองุ่นใหม่ที่พระเยซูนำมาประทานให้เราคือ “โซว์” (Zoe) หรือชีวิตของพระเจ้าที่มนุษย์ไม่เคยมีโอกาสได้รับเลยตั้งแต่อาดัมจนถึงพระเยซู
น้ำองุ่นหมด หมายถึงชีวิตอาดัมจบลงแล้ว
มารดาของพระเยซูทราบดีว่า พระเยซูทรงช่วยพวกเขาได้ (มัทธิว 1.21 เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจะเรียกนามของท่านว่าเยซูเพราะว่า ท่านจะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขาทั้งหลาย”)
2.4 พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ข้าพเจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า เวลาของข้าพเจ้ายังไม่มาถึง”
หญิงเอ๋ย ในที่นี้หมายถึง “ท่านหญิง” หรือ “สุภาพสตรีเอ๋ย” (เป็นคำที่พระเยซูทรงให้ความนับถือมารดาฝ่ายเนื้อหนังของพระองค์)
ข้าพเจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า เวลาของข้าพเจ้ายังไม่มาถึง” หมายถึงการไม่ทำตามความต้องการและเวลาของมนุษย์ แต่ตามเวลา และน้ำพระทัยของพระเจ้า
2.5 มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า “ท่านจะสั่งพวกเจ้าให้ทำสิ่งใดก็จงกระทำตามเถิด”
มารดาของพระเยซูจึงเข้าใจ และยอมรับน้ำพระทัยของพระเจ้า จึงบอกให้พวกคนใช้รอ
ผู้เชื่อส่วนมากมักทำตามใจเขาเอง ไม่รอ ไม่ชอบถ้าหากพระเจ้าทรงตอบช้า และให้ในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ แต่พระเจ้าทรงทราบดีว่า จะเกิดผลดีต่อเขาในอนาคต
2.6 มีโอ่งหินตั้งอยู่ที่นั่นหกใบตามธรรมเนียมการชำระของพวกยิว จุน้ำใบละสี่ห้าถัง
ชาวยิวมีธรรมเนียมการชำระมลทิน และเคราะห์ร้ายเหมือนศาสนาอื่นทั่วๆ ไป แต่ไม่มีในพระบัญญัติ และพระเจ้าไม่รู้เห็นอะไรในสิ่งที่เขาทำ
2.7 พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด” และเขาก็ตักน้ำใส่โอ่งเต็มเสมอปาก
น้ำ หมายถึงความตาย ตักน้ำใส่ให้เต็มหมายถึงตายให้สนิท ยอมจำนนทั้งหมด ยอมแพ้ หรือไม่ขัดขืน (Completely dead)
2.8 แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด” เขาก็เอาไปให้
2.9 เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นน้ำองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน (แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้) เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา
พระเยซูเปลี่ยนความตายให้เป็นชีวิต เราจะพบว่า ชีวิตพระเจ้าจะมีสันติสุขที่ไม่เหมือนความสุขของโลกนี้ ช่างอร่อย สุขล้น ชื่นชมยินดี มีความหวังเหมือนเหล้าองุ่นใหม่เพราะว่า เป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าหลั่งไหลเข้ามาสู่ชีวิตเก่าที่ตายของเรา เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายที่ชีวิตเก่าอาดัมไม่เคยมี
2.10 และพูดกับเขาว่า “ใครๆ เขาก็เอาน้ำองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน และเมื่อได้ดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่สู้ดีมา แต่ท่านเก็บน้ำองุ่นอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้”
ธรรมเนียมของชาวยิวเมื่อจัดงานเลี้ยง เขาจะเตรียมเหล้าองุ่นสองชนิดเพื่อรับรองแขกที่มา ตอนเริ่มงานใหม่ๆ เจ้าของงานเลี้ยงจะเอาเหล้าองุ่นที่ราคาแพงและอร่อยออกมาให้แขกดื่มจนเมา และหลังจากนั้นจึงนำเอาเหล้าองุ่นราคาถูกๆ ไม่อร่อยออกมาให้แขกดื่ม
สรุป
พระเยซูเป็นคำตอบ ทางออกของชีวิตอาดัมที่กำลังจะจบ และความสุขที่ไม่มั่นคงยืนยาวตลอดไป
พระเยซูเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนความตายให้มีชีวิตได้ และชีวิตที่เราจะได้รับนั้นคือชีวิตของพระเจ้าที่เติมเต็มในสิ่งที่เราขาดหายได้
ขอให้เป็นเวลากำหนดและน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจเราเอง
ยอมจำนนต่อพระเจ้า เชื่อและยอมรับว่า พระเยซูเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของเราผู้เดียว ไม่ยุ่งเกี่ยว แสวงหาทางอื่น และสิ่งอื่นเพื่อเติมให้เต็มในชีวิตของเราอีกต่อไป
ข้อ 13-25 ทรงชำระพระวิหาร
บริเวณพระวิหารมีที่ขายสัตว์เลี้ยงมากมายหลายร้าน เพื่อตอบสนองความต้องการของชาวยิวที่ไม่สะดวกในการนำสิบลดที่เป็นสัตว์เลี้ยงมาถวายแด่พระเจ้าเพราะบ้านเรือนอยู่ห่างไกลมาก พวกเขาจึงต้องขายในเมืองของตน และนำเงินมาซื้อสิบลดที่พระวิหาร เป็นคำสั่งของพระเจ้าในเลวีนิติ และเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่มีอะไรผิด แต่ต่อมาพวกเขาทำเป็นธุรกิจ การค้าขายแบบหวังผลกำไรเกินตัว เอารัดเอาเปรียบ ฉ้อโกง ไม่ใส่ใจเรื่องความจำเป็น และความสำคัญของการถวายสิบลด และนี่คือสาเหตุที่พระเยซูทรงชำระพระวิหาร
พระเยซูทรงเป็นพระบุตร และพระวิหารเป็นที่สถิตของพระบิดา ทรงใช้สิทธิอำนาจในการชำระพระวิหาร แต่ชาวยิวไม่ยอมรับ จึงขอให้พระองค์สำแดงหมายสำคัญเพื่อพิสูจน์การกระทำดังกล่าวของพระองค์
สำหรับพระเจ้า พระเยซูมีสิทธิอำนาจต่อการกระทำนี้เพราะถือว่า พระวิหารคือบ้านเรือนของพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูในฐานะพระบุตรจึงมีสิทธิอำนาจชำระพระวิหารได้

