ยอห์นบทที่ 3
นิโคเดมัสไม่ได้มาขอความช่วยเหลือจากพระเยซู แต่พระเยซูคริสต์ต่างหากที่เสนอทางแห่งความรอดให้นิโคเดมัส
ผู้เชื่อมากมายเข้าใจผิดคิดว่า นิโคเดมัสมาหาพระเยซูเพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องทางแห่งความรอด
แต่แท้ที่จริงแล้ว นิโคเดมัสมาหาพระเยซูเพื่อแสดงการเคารพยกย่อง และเป็นกำลังใจให้พระองค์เพราะท่านเชื่อว่า พระเยซูเป็นครูที่มาจากพระเจ้า แต่ไม่ได้เชื่อว่า พระเยซูเป็นพระคริสต์
ยอห์น 3.2 ชายผู้นี้ได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนและทูลพระองค์ว่า “รับบี พวกข้าพเจ้าทราบอยู่ว่า ท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีผู้ใดกระทำการอัศจรรย์ซึ่งท่านได้กระทำนั้นได้นอกจากว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขาด้วย”
3.3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้”
พระเยซูคริสต์ต่างหากที่เสนอทางแห่งความรอดให้นิโคเดมัส
การบังเกิดใหม่เท่านั้น ที่จะช่วยเขาให้ได้เห็นราชอาณาจักรของพระเจ้า
การบังเกิดใหม่ คือการรับชีวิตของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในวิญญาณที่ใหม่ของเรา
การบังเกิดใหม่ คือหลักการแห่งความรอด และได้เห็น/ได้เข้าในราชอาณาจักรซึ่งเป็นโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เนื้อหนังไม่อาจจะเข้าไปในอาณาจักรวิญญาณนี้ได้
3.4 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้ จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ”
นิโคเดมัสสงสัย และแปลกใจเรื่องการเกิดใหม่เพราะว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องการบังเกิดใหม่นี้เลย
3.5 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้
การที่จะได้เห็น (สัมผัส) และได้เข้าไปในราชอาณาจักรของพระเจ้านั้น ต้องเกิดใหม่ในน้ำและในพระวิญญาณเท่านั้น
คริสเตียนบางกลุ่มไม่เชื่อเรื่องรับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระคัมภีร์ข้อนี้ชี้ชัดว่า เราต้องเกิดใหม่ในน้ำ (บัพติศมาในน้ำ) และเกิดใหม่ในพระวิญญาณ (บัพติศมาในพระวิญญาณ)
3.6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็คือจิตวิญญาณ
3.7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านต้องบังเกิดใหม่
3.8 ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน”
การบังเกิดใหม่ เราไม่อาจเห็นได้ว่าคืออะไร แต่เป็นการทำงานของพระวิญญาณต่อชีวิตเรา
เมื่อเราเชื่อและรับบัพติศมาในน้ำ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะรับบัพติศมาเราในพระวิญญาณ “ซึ่งเรามองไม่เห็น” แต่อีกไม่นานต่อมาเราจะสัมผัส เกิดมีอาการหิวกระหายอยากรู้เรื่องพระเจ้า อยากอ่าน อธิษฐาน และไปร่วมนมัสการกับพี่น้องผู้เชื่ออื่นๆ
การบังเกิดใหม่
ทันทีที่เราเชื่อเข้าใน หรือรับพระเยซูเป็นพระเจ้าและพระคริสต์
พระวิญญาณจะเสด็จมาหาเรา
พระวิญญาณจะดลบันดาลให้วิญญาณของเรากลายเป็นวิญญาณใหม่ (จากวิญญาณที่มีอยู่แต่ตายแล้ว)
พระวิญญาณจะเข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา วิญญาณเราจะกลายเป็นบ้านของพระองค์ และพระวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณเราซึ่งจะแยกจากกันไม่ได้อีกเลย (เมื่อทำบาปพระวิญญาณจะไม่ออกไปจากเราเหมือนที่ผู้เชื่อมากมายเชื่อกัน แต่เราต่างหากที่ออกจากพระวิญญาณ หรือออกจากการสามัคคีธรรมกับพระวิญญาณ)
พระวิญญาณยืนอยู่ที่วิญญาณ และเคาะประตูใจเราเพื่อเข้าไปครอบครองทีละส่วน เมื่อครอบครองได้ส่วนไหนส่วนนั้นก็จะเลิกทำบาปได้
3.12 ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายโลกและท่านไม่เชื่อ ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร
3.13 ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสู่สวรรค์ นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์คือบุตรมนุษย์ผู้ทรงสถิตในสวรรค์นั้น
สิ่งฝ่ายโลก ในที่นี้ “ไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นๆ กัน” แต่พระเยซูหมายถึงการไถ่บาป และการบังเกิดใหม่ที่พระเยซูนำมาสู่โลกมนุษย์ ที่ท่านนิโคเดมัสฟังแล้วไม่เข้าใจนี่เอง
สิ่งฝ่ายสวรรค์ ในที่นี้คือสภาพของพระเจ้าที่เป็นพระเจ้าและมนุษย์ในเวลาเดียวกัน ทรงประทับอยู่ในสวรรค์ และลงมาเดินอยู่บนโลกนี้ในเวลาเดียวกัน ที่ท่านนิโคเดมัสไม่อาจจะรับได้
3.14 โมเสสได้ยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น
งูปลอมทำเพื่อการรักษาอาการป่วยใกล้ตายของชนชาติอิสราเอลฉันใด พระเยซูที่มีร่างกายมนุษย์ที่เหมือนจริงก็จะถูกยกขึ้น (ถูกตรึง) เพื่อรักษาอาการป่วยและตายของคนทั้งโลกฉันนั้น
3.15 เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์
แต่มีชีวิตนิรันดร์ในที่นี้คือ “มีชีวิตพระเจ้า” หรือชีวิตอมตะ—ข้อ 15 เป็นคำเดียวกับข้อ 16 แต่ข้อ 16 ภาษาไทยและอังกฤษบางฉบับแปลว่า “มีชีวิตอันตลอดไปเป็นนิจ”
Eternal life = Divine life = God’s life = Everlasting life ความหมายที่แท้จริงคือ “มีชีวิตพระเจ้า” ชีวิตที่ตายไม่เป็น ไม่มีวันวาน ไม่มีอนาคต แต่ทรงเป็นอยู่สืบๆ ไปเป็นนิจ—αἰώνιον = aionios = ออย นอย = ชีวิตพระเจ้า / ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า / ชีวิตที่ไม่ตาย / ชีวิตที่เป็นอยู่ตลอดไปเป็นนิจ
สรุป เมื่อเชื่อเราจะได้รับชีวิตพระเจ้าที่จะเข้ามาอยู่ในเรา เพื่อเราจะมีชีวิตที่ตายไม่เป็นอีก และชีวิตนี้จะนำเราให้ไม่ทำบาปในแต่ละวัน* เมื่อเรามีชีวิตพระเจ้า แน่นอนที่สุดเราก็รอด และมีชีวิตตลอดไปเป็นนิจ แต่ท่านยอห์นเน้นถึงการได้มีชีวิตพระเจ้าหรือได้รับชีวิตพระเจ้า ท่านไม่ได้เน้นว่าจะรอดในอนาคต ดังที่ผู้เชื่อมากมายตีความหมาย
3.16 เพราะว่า พระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์
คำว่า “เชื่อในพระบุตร” ในที่นี้คือ “เชื่อเข้าใน” หรือเอาทั้งชีวิตเข้าในความเชื่อ หรือเข้าในพระเจ้าที่เรารับเชื่อเพื่อรับพระองค์เป็นพระเจ้า และเปลี่ยนเส้นทางสายเดิมเป็นสายใหม่ ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เดิน ไม่ใช่เชื่อว่ามี หรือเชื่อแค่คำพูดเท่านั้น
3.17 เพราะว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงใช้พระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อจะพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น
3.18 ผู้ที่เชื่อในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ แต่ผู้ที่มิได้เชื่อก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้เชื่อในพระนามพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระเจ้า
แต่ผู้ที่มิได้เชื่อก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว คือทุกคนที่ไม่เชื่อก็อยู่ในการพิพากษาอยู่แล้ว และกำลังจะไปถึงการพิพากษาเพื่อส่งไปบึงไฟ โลกทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ได้รับการพิพากษา แต่ยังไม่ถึงขั้นเด็ดขาด
3.19 หลักของการพิพากษามีอย่างนี้คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่างเพราะกิจการของเขาชั่ว
เมื่อความจริงของพระเจ้าเข้ามาในโลกทางพระเยซู แต่มนุษย์รักความมืด (ความไม่จริง) เพราะว่า เขารักและคุ้นเคยกับชีวิตที่อยู่ในความไม่จริงของโลก
ความไม่จริง/ความมืด หรือเรียกอีกว่าความจริงของอาดัม
ความจริงของพระเจ้า คือความสว่าง หรือสิ่งที่พระเจ้าเรียกว่าจริงผ่านทางพระเยซูกระทำ
ตัวอย่างของความจริง (ความสว่าง) ของพระเจ้า แต่กลับเป็นความไม่จริงของมนุษย์ คือพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ทรงรวบรวมเราทุกคนไปตายกับพระองค์ พระเจ้าทรงยอมรับการตายแทน และการตายกับพระเยซูของพวกเรา แต่คนที่ได้ยินก็ไม่เชื่อ เพราะเขาเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ และรับความจริงในพระคัมภีร์ไม่ได้ นี่คือการรักความมืด
3.20 เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาถึงความสว่างด้วยกลัวว่า การกระทำของตนจะถูกตำหนิ
เมื่อคนใดที่มาไม่ถึงความจริงของพระเจ้า และยังดำเนินอยู่ในเนื้อหนัง ถึงแม้จะเชื่อพระเจ้าและมีผลงานมากมาย แต่การกระทำของเขาล้วนทำด้วยจิตใจที่แอบแฝงสิ่งที่ต้องการ ซึ่งเราพบว่า ผู้รับใช้มากมายทำเพื่อ (1) ตำแหน่งหรือชื่อเสียง (2) ค่าจ้างรางวัล (3) กลัวถูกพระเจ้าลงโทษ (4) กลัวไม่รอด และการกระทำด้วยรัก จริงใจ และเสียสละที่แท้จริงมีแต่ก็น้อยนิด
3.21 แต่ผู้ที่ประพฤติตามความจริงก็มาสู่ความสว่าง เพื่อจะให้การกระทำของตนปรากฏว่า ได้กระทำการนั้นโดยพึ่งพระเจ้า”
ผู้ที่รู้จักความจริง (ในพระคริสต์) ก็ดำเนินในฝ่ายวิญญาณ และรู้ว่า เขา (1) ตายแล้ว (2) เป็นขึ้นจากตายกับพระคริสต์และเป็นคนใหม่แล้ว (3) เขาทำทุกสิ่งโดยพึ่งพระคริสต์ไม่ใช่เขาเองอีกต่อไป (4) เขาไม่อวดตัวหรือยกตัวเองขึ้น แต่ถ่อมใจลง และถวายพระเกียรติทั้งหมดแด่พระเจ้า
ข้อที่ 22-30
คนมากมายที่รับบัพติศมากับยอห์นก็ติดตามเป็นศิษย์ของยอห์น และบางคนไม่ติดตามพระเยซูเมื่อยอห์นถูกฆ่าตาย
คนที่ติดตามพระเยซูก็รับบัพติศมากับสาวกของพระองค์ (พระเยซูไม่รับให้ในน้ำ แต่รับให้ในพระวิญญาณ (รอด) และในไฟ (ไม่รอด) เท่านั้น ผู้ที่รับให้เราในน้ำทุกวันนี้คือผู้เชื่อ และผู้รับใช้ที่ประกาศหรือเลี้ยงดูเรา
3.30 พระองค์ต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง”
นี่คือสิ่งที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลาย พระเยซูจึงทรงยิ่งใหญ่ไม่ได้เพราะเราไม่ยอมด้อยลง ต่างคนต่างแสวงหาเกียรติ ชื่อเสียง ความเป็นใหญ่ ไม่มีใครถ่อม และยอมเป็นผู้เล็กน้อยเหมือนเด็กๆ ที่ไม่สนใจเรื่องตำแหน่งหรืออำนาจใดๆ
3.35 พระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
พระบุตรมีสิทธิอำนาจเท่าเทียมกับพระบิดา เราสามารถร้องออกพระนามของพระบุตร (พระคริสต์เยซู) เพื่อรับชีวิต และเพื่ออธิษฐานกราบทูลต่อพระองค์ได้ ก็เท่ากับเราได้อธิษฐานถึงพระบิดาเหมือนกัน แต่ผู้เชื่อมากมายเข้าใจผิดคิดว่า ต้องอธิษฐานถึงพระบิดาเท่านั้น แท้ที่จริงพระบุตรและพระวิญญาณก็รับคำอธิษฐาน และทรงเท่าเทียมกันทั้งสามพระภาค บุตรมนุษย์ (พระเยซู) คือผู้รับสิทธิอำนาจทั้งหมด เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสามพระภาคผ่านทางพระองค์